สัญญาแฟรนไชส์ ไม่ใช่แค่การตกลงร่วมมือทางธุรกิจ แต่คือข้อตกลงทางกฎหมายที่ต้องรัดกุม ชัดเจน และรอบคอบ ทั้งในมุมของเจ้าของแบรนด์ (Franchisor) และผู้ขอใช้สิทธิ (Franchisee) ดังนั้นก่อนร่วมลงทุนในแฟรนไชส์ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำความเข้าใจใน “สัญญาแฟรนไชส์” ว่าควรมีข้อกำหนดใดบ้าง และประเด็นไหนที่มักถูกมองข้ามแต่มีผลต่อสิทธิประโยชน์ในระยะยาว
บทความนี้จะพาคุณไปดูข้อกำหนดหลักที่ควรรู้ในสัญญาแฟรนไชส์ ตั้งแต่รูปแบบการให้สิทธิ ขอบเขตการใช้งาน เงื่อนไขการชำระเงิน ไปจนถึงประเด็นที่อาจกลายเป็นข้อพิพาทในอนาคต เพื่อให้คุณตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างมั่นใจ และไม่พลาดในทางกฎหมาย
รูปแบบการอนุญาตให้ใช้สิทธิ
คู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่ายต้องกำหนดการให้สิทธิ เช่น
• ให้เฉพาะสินค้าหรือบริการเพื่อการจัดจำหน่าย (Product & Branding)
• อนุญาตให้สิทธิผ่านการถ่ายทอดกระบวนการ วิธีการดำเนินธุรกิจทั้งหมด (Business Format)
• อนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ รูปแบบร้าน (Corporate Identity) หรือองค์ประกอบอื่นใดหรือไม่
กำหนดขอบเขตการให้สิทธิ
ขอบเขตการให้สิทธิควรพิจารณาถึงประเด็นย่อยเหล่านี้
• การอนุญาตให้ใช้สิทธิเป็นแบบ Exclusive หรือไม่
• การอนุญาตนั้นมีข้อจำกัดในส่วนของพื้นที่ (Territory) อย่างไรหรือไม่
• สิทธิในการให้อนุญาตช่วง (Sub-Franchisee)
• เงื่อนไขการรักษาสิทธิ
กรอบเวลาการอนุญาต
ต้องกำหนดให้ชัดเจนในสัญญาว่า Franchise นี้ เป็นการให้สิทธิเป็นระยะเวลาเท่าใด จะมีการขยายเวลาหรือต่ออายุของระยะเวลาดังกล่าวหรือไม่ เงื่อนไขการขยายระยะเวลาเป็นอย่างไร เพื่อความชัดเจนในการเรียกร้องสิทธิ
ค่าตอบแทน
กำหนดโครงสร้างค่าตอบแทนที่ Franchisee ต้องชำระให้ Franchisor อย่างชัดเจน เช่น
• ค่า Franchise Fee, Royalty Fee
• ค่าวัตถุดิบหรือค่าสินค้าอื่นตามที่ตกลงกัน
• ระบุช่วงเวลาการชำระเงิน (เช่น รายเดือนหรือรายปี)
• ระบุผลบังคับหากชำระค่าตอบแทนล่าช้า เช่น การเรียกดอกเบี้ย หรือการยกเลิกสัญญา
อ่านบทความนี้เพิ่มเติมใน เอกสารภาษีอากร ฉบับเดือนพฤษภาคม 2568
พร้อมบทความที่น่าสนใจ โดยนักเขียนผู้เชี่ยวชาญกว่า 20 ท่าน
อ่านบทความอื่นๆ
สัญญาแฟรนไชส์และภาระภาษีที่ผู้ประกอบการต้องรู้
6 ข้อห้ามธุรกิจแฟรนไชส์ ที่ไม่ควรปฏิบัติ