เจ้าของร้านขายยาหลายคนอาจโฟกัสแค่เรื่องสต๊อกยาและยอดขาย แต่เรื่อง ภาษี ก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะถ้าคุณจดทะเบียนในนามบุคคลธรรมดา ต้องรู้ให้ชัดว่า รายได้จากการขายยานับเป็นเงินได้พึงประเมิน ต้องยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง และหากยอดขายทะลุ 1.8 ล้านบาทต่อปี ก็หนีไม่พ้นการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
มาดูกันว่า ภาษีร้านขายยา ต้องยื่นเมื่อไร คำนวณยังไง และมีจุดไหนที่เจ้าของร้านมักพลาดบ่อยที่สุด
ภาษีเงินได้จากการขายยา
เงินได้จากการขายยาของร้านขายยา ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากมีรายรับจากการขายยาตลอดทั้งปีเกิน 1.8 ล้านบาท ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีหน้าที่จัดเก็บและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย
ยื่นภาษีเมื่อไร
ผู้ประกอบการธุรกิจร้านขายยาที่เป็นบุคคลธรรมดา ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีละ 2 ครั้ง
• ภาษีกลางปี (ภ.ง.ด.94) ต้องยื่นในเดือนกันยายน โดยใช้เกณฑ์เงินสด
• ภาษีปลายปี (ภ.ง.ด.90) ต้องยื่นในเดือนมีนาคมของปีถัดไป ซึ่งสามารถนำภาษีที่เสียกลางปีมาหักออกจากภาษีปลายปีได้
คำนวณอย่างไร
ใช้เกณฑ์เงินสดจากรายได้ตลอดทั้งปี หักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธี คือ
(1) ค่าใช้จ่ายเหมา 60% ของรายได้
(2) ค่าใช้จ่ายตามจริง (ต้องมีหลักฐานยืนยัน)
หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่างๆ คงเหลือเป็นเงินได้สุทธิ และเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษี ส่วนที่เกิน จะเสียภาษี ในอัตรา 5–35% ตามขั้นเงินได้
ข้อสังเกต
บุคคลธรรมดาต้องยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีละ 2 ครั้ง คือ กลางปีและสิ้นปี หากมีเงินได้ทั้งปี ก่อนหักค่าใช้จ่าย จำนวนเงิน 1,800,000 บาทขึ้นไป ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยยื่นแบบ ภ.พ.30 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าจะมีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระหรือไม่ก็ตาม
อ่านเพิ่มเติมใน CPD&Account ฉบับเดือนกันยายน 2568
พร้อมบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ โดยนักเขียนมากประสบการณ์
อ่านบทความอื่นๆ
ธุรกิจเสริมความงามต้องเสียภาษีอย่างไร
มาตรการภาษี 200% ขับเคลื่อน SMEs ดิจิทัล
Earmarked Tax ภาษีที่จ่าย นำไปใช้เพื่อใคร